Friday, November 25, 2016

อาหารเช้าจานโปรด ...เมนูไหนเปี่ยมประโยชน์มากที่สุด

อันดับอาหารเช้าจานโปรด... 
เมนูไหนเปี่ยมประโยชน์มากที่สุด

เป็นที่ทราบกันดีว่า มื้อเช้า ถือเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด จะสดใสร่าเริง สมองแล่นทั้งวันหรือไม่ ก็อยู่ที่
มื้อเช้านี่แหละ เมื่ออาหารเช้าสำคัญขนาดนี้ มาสำรวจกันหน่อยดีมั้ย ว่าอาหารจานโปรดที่คุณๆ ทานกัน
ทุกเช้านั้น เมนูใดเปี่ยมประโยชน์ เมนูไหนสมควรเลี่ยง !
เรารวบรวมอาหารเช้าที่คุณคุ้นเคย 6 เมนู ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Ani-
Aging) นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ฟันธงว่าแท้จริงแล้ว
เมนูอาหารเช้ายอดฮิตอย่าง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋, โจ๊กหมู, ข้าวเหนียว หมูปิ้ง, ต้มเลือดหมู, ขนมปัง ไข่
ดาว และขนมครกนั้น แท้จริงแล้วมีประโยชน์เพียงใด เหมาะจะนำมาเป็นมื้อสำคัญยามรุ่งอรุณแค่ไหน
“การทานอาหารเช้าที่ดี คือ ให้กินอย่างราชา แต่จะต้องมีหลักนิดนึงคือ ถ้าเรากินอย่างราชาแต่
หนักแป้งก็ไม่ดี เพราะมันจะทำให้เราหิวเร็ว ดังนั้นกฎข้อแรกของการกินอาหารเช้าคือ พยายามทานแป้ง
กับน้ำตาลให้น้อยที่สุด เพราะแป้งและน้ำตาลดูดซึมได้เร็ว เมื่อไหร่ที่ดูดซึมเร็ว อินซูลิน (Insulin) จะมา
ควบคุมไม่ให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง เมื่ออินซูลินมากดนานเข้า ก็จะทำให้น้ำตาลเราต่ำ เมื่อน้ำตาล
ต่ำ เราก็จะหิวเร็ว ดังนั้นย้ำนะครับ ว่าอาหารเช้าไม่ควรขาดเลย แต่ควรจะงดแป้งและน้ำตาล
กฎข้อที่สองคือ อาหารเช้ามื้อนั้นๆ ไม่ควรจะรสจัดเกินไป เพราะในตอนเช้ายังไม่มีน้ำย่อยเยอะ
และกระเพาะอาหารยังไม่ขยับเต็มที่ หากเราทานอาหารที่มีความมัน หรือเผ็ดเกินไป มันจะทำให้เกิดข้อ
เสียมากกว่า ดังนั้นในมื้อเช้าจึงไม่ควรจะทานอาหารที่มันและเผ็ดเกินไป” คุณหมอกฤษดา อธิบายถึง
หลักการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพ
หลังบอกถึงหลักการทานอาหารเช้าที่เหมาะสมแล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่า อาหารเช้าที่หลายท่าน
นิยมชมชอบ ด้วยเพราะคุ้นเคยดี แถมซื้อหาได้ง่าย (เพราะขายอยู่พรึ่บทุกปากซอย) แท้จริงแล้ว แต่ละ
เมนูมีประโยชน์แค่ไหน เหมาะจะเป็นมื้อเช้าที่ดีของคุณๆ หรือไม่ และคุณหมอท่านฟันธงมาว่าเมนูไหน
เยี่ยมสุด
อันดับ1 ต้มเลือดหมู
เมนูอันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Ani-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้
ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง...ก็ต้องมีเทคนิคในการทาน
“ต้มเลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะ
ในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะ
ดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็น
คู่ที่เพอร์เฟคเลย
แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้ม
กระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสัก
นิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซี
เมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้ง
นั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน
(Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี
ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย
ดังนั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผมว่าดีกว่า
ปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่
หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป”
อันดับ2 ขนมปัง + ไข่ดาว
สำหรับอับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้าทำง่าย...ทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบัน
เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็นอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำ
งาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้
น้ำมัน) นะคะ
“ในช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การเพิ่มอาหาร
จำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทาน
อาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย
สำหรับไข่ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่
ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลด
ไขมันได้ด้วย
หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวี
ท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซ
นวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิดเพอร์เฟค
(perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บาง
ท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อย
แล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหาร
ชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า”
อันดับ3 ขนมครก + กาแฟ
“ขนมครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดี
กว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ข้อดีของมันคือ มี
กะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain
triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่งเรามักเข้าใจว่า
กะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็
ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้าของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรย
ด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดัง
นั้นก็เข้ากันพอดี
ยิ่งทานขนมครก กับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine)
เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอี
นเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็น
อาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้
ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน”
อันดับ4 โจ๊กหมู
“ตัวโจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เรา
หิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่าง
กาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล
ส่วนประโยชน์นั้น หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำ
ให้เราได้วิตามินอี (Vitamin E) และ แกมมา ออริซานอล (Gamma-Orizanal) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิ
แดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา
(Gaba) ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหา
ซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง
กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น
ข้อควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่
หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์
และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้
กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอล (Cholesterol) มากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเล
สเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป ”
อันดับ5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง
เมนูอับดับห้านี้ คุณหมอเตือนมานิดว่า แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัด
ระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ “มัน”
“ในเรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่ (Calorie) เยอะอยู่ แต่
ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็
จะมีกลูเตน (Gluten) หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าว
เหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี (OPC) สารสีม่วงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย
ส่วนหมูปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะเมื่อไหร่ไขมัน ไป
สัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะ
เป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็
ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะพวกนี้อาจจะมียาฆ่าแมลงที่ติด
มากับไม้ที่นำมาทำเป็นถ่าน หรือหากเขาใช้ไม้เฟอร์นิเจอร์ (Furniture) มาทำเป็นถ่านก็ยิ่งต้องระวัง
เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้”
อันดับ6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋
สำหรับเมนูสุดท้ายอย่าง น้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอหนุ่มระบุว่า ปาท่องโก๋นั้น ถือเป็น
อาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น “อาหารล้าง
บาป” ให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป
“ปาท่องโก๋เนี้ย ตัวทำให้อ้วนเลยครับ ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี
น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือ
ภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน (Protein), แอนตี้
ออกซิแดนท์ (Antioxidant), เปปไทด์ (Peptide) หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์
(Fiber) ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้
อีกสิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ นั่นคือกลุ่มของอะคริ
ลาไมด์ (Acrylamide) ตัวนี้จะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอด
ซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือถ้าจะทานปาท่องโก๋เมื่อ
ไหร่ ควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำเต้าหู้ใส่ถั่วแดง, เม็ดแมงลัก, ข้าวบาร์เล่ย์
(Barley) ใส่ธัญพืชเหล่านี้เข้าไปสักหน่อย มันจะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำ
ให้หิวง่าย
ส่วนผู้ที่นิยมทานปาท่องโก๋จิ้มนมข้น อันนั้นเรียกว่า คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) จิ้มคาร์โบ
ไฮเดรต หรืออ้วนจิ้มอ้วนเลย เพราะนมข้นหวานทำจากหางนม แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล, น้ำเชื่อม เพราะ
ฉะนั้นถ้าทานปาท่องโก๋ กับนมข้น ข้อเสียคือ ทำให้เราติดหวาน หากมื้อเช้ามื้อนั้นเราทานปาท่องโก๋ จิ้ม
นมข้น มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุข เพราะได้น้ำตาล แต่มันจะทำให้หิวเร็ว” คุณหมอกฤษดา
อธิบายปิดท้ายเมนูสุดท้ายแบบครบถ้วนกระบวนความ
__._,_.___


เครดิตจาก เมลเพื่อนกัน