Wednesday, September 4, 2024

ซึ้งมาก

 ....... ซึ้ ง ม า ก ......


ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ


ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 
ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ


ของฉันมีกัน


จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง


พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง


โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน


'
ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน


พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า


'
ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น


ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า


'
ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง


พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด


จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย


พ่อนั่งลงบนเก้าอี้


และด่าว่าน้องชายของฉัน


ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'


คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้


หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด


แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย


กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก


น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า


พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้


ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ




หลายปีผ่านไป


แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง


ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย


ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น


เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน


ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย


ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน


คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน


ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า


ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า


'
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า


ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่


'
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน


พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'


คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ


ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน


ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ


ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า


ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน


ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้


ใครจะรู้ได้ 
.......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด


น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น


และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว


ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน


ขณะฉันกำลังหลับ


พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'


ฉันนั่งอยู่บนเตียง


อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
 .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป


ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน


รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น


กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ
 .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี
 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก


เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า


'
มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ
 ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่


ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

...


ฉันถามเขาว่า


'
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า


'
ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'


ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง


และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ


พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'


จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง


เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ
 . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า


'
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด


ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน


ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก


ฉันสังเกตเห็นว่า


หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว


เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก


หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า


'
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'


แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า


แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน


ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ


น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'


ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา


ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ


ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม


'
ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด


แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ


และ...'


น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด


เพราะฉันหันหน้าหนีเขา


น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง


'
เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง


หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...


แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ


ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง


แต่เมื่อออกไปแล้ว


ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี


จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม


น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
 ...

เขาบอกกับฉันว่า


'
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว


เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

...

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้


เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา


วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล


และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด


เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล


ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล


น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา


... 
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้


ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'


คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด


ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา


'
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ


คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'


น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
 .....

ฉันบอกกับน้องว่า


'
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้


ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 
30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน


ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า


ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้


'
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง
 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน


วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง


พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง


และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล


เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว


เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
 .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง


ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี


และจะทำดีกับเธอ'


เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว


สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน


คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
 .......

'
ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้


น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...


จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ


วันในชีวิตของคุณและเขา


คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ


แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง


.. 
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน


หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม



จบบริบูรณ์....



ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ
 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 
83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'
ซัมซุง'

และเรื่องราวของท่านทั้ง 
คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง

No comments:

Post a Comment